เงินได้พึงประเมินคืออะไร?
“เงินได้พึงประเมิน” คือรายได้รายปีที่จะนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี เงิน ทรัพย์สิน กำไร หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เรารวยขึ้นจะถูกนับเป็นรายได้พึ่งจะเมินทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น รายได้จากการทำงาน, ผลประโยชน์จากการลงทุน, กำไรจากการขายทรัพย์สิน, รายได้จากธุรกิจหรือการประกอบวิชาชีพ รวมถึงรายได้อื่น ๆ ตามที่กำหนดในกฎหมาย อ้างอิงตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร บางคนอาจเรียกว่าเงินได้ประเภท 40(1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) หรือ (8) ก็ได้
ทรัพย์สินแบบไหนที่ถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน?
ทุกอย่างที่ทำให้เรารวยจะถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
- เงินสด
- เงินในบัญชี
- ทรัพย์สินที่สามารถนำมาตีราคาได้
- สิทธิประโยชน์ที่สามารถนำมาตีราคาได้
- เงินภาษีที่มีคนจ่ายแทนให้เรา
- เครดิตภาษีเงินปันผล
เนื่องจากผู้มีเงินได้ประกอบอาชีพแตกต่างกัน มีความยากง่ายหรือต้นทุนที่แตกต่างกัน เพื่อความ เป็นธรรม ในกฎหมายจึงได้แบ่งลักษณะเงินได้(พึงประเมิน) ออกเป็นกลุ่มๆ ตามความเหมาะสมเพื่อกำหนดวิธีคำนวณภาษีให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด ดังนี้
เงินได้ประเภทที่ 1
หรือ 40(1) หมายถึงเงินที่ได้จากการจ้างงานต่าง ๆ เป็นรายเดือน เช่น เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง โบนัส ฯลฯ เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
เงินได้ประเภทที่ 2
หรือ 40(2) หมายถึงเงินได้จากการจ้างงานเป็นครั้งคราว เช่น ค่าจ้างทั่วไป การจ้างให้ทำงาน ค่าคอมมิชชัน ค่านายหน้า ค่าตอบแทนจากการเป็น MC ถ่ายโฆษณา นางแบบ ค่าตอบแทนจากการรีวิวสินค้า เบี้ยประชุม เป็นต้น เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 2 สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ถ้าคุณมีรายได้จากประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 ให้นำมาคิดรวมกัน และหักค่าใช้จ่ายได้ 50% สูงสุดไม่เกิน 100,000
เงินได้ประเภทที่ 3
หรือ 40(3) หมายถึงเงินได้ที่มาในรูปแบบของค่าลิขสิทธิ์ ค่าตอบแทนจากทรัพย์สินทางปัญญา ค่ากู๊ดวิล เช่น ค่าบทประพันธ์ งานเพลง การทำเว็บไซต์ ค่าเฟรนไชส์ ค่าสิทธิบัตร ค่าชื่อเสียงทางการค้า การเขียนโปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์และเงินรายปีจากนิติกรรมหรือคำพิพากษาของศาล เช่น ค่าเลี้ยงดูจากการฟ้องหย่า เป็นต้น เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 3 หักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
เงินได้ประเภทที่ 4
หรือ 40(4) หมายถึงเงินที่ได้มาในรูปแบบของดอกเบี้ย และเงินปันผล เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร เงินลดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ฯลฯ เงินได้ประเภทนี้จะดอกผลที่เกี่ยวเนื่องจากการลงทุนของผู้มีเงินได้ แต่ทั้งนี้เงินได้ประเภทที่ 4 อาจมีรายละเอียดข้อยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีบางอย่าง ทั้งนี้ เงินได้ประเภทที่ 4 ไม่สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้
เงินได้ประเภทที่ 5
หรือ 40(5) หมายถึงเงินได้ที่มาจากค่าเช่า รวมถึงเงินที่ได้มาจากการผิดสัญญาเช่าหรือสัญญาซื้อขาย เงินได้ที่มาจากค่าเช่า รวมถึงเงินที่ได้มาจากการผิดสัญญาเช่าหรือสัญญาซื้อขาย เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าตึก ค่าเช่ายานพาหนะ ค่าเช่าที่ดิน เป็นต้น เงินได้พึงประเมินประเภทนี้จะหักค่าใช้จ่ายได้ตามอัตราที่กำหนดไว้ดังนี้
- เงินค่าเช่าบ้าน อาคาร สิ่งก่อสร้าง แพ หักค่าใช้จ่ายได้ 30% ของเงินได้หรือหักตามจริง
- เงินค่าเช่ายานพาหนะ หักค่าใช้จ่ายได้ 30% ของเงินได้หรือหักตามจริง
- เงินค่าเช่าที่ดินที่ใช้ในการทำการเกษตร หักค่าใช้จ่ายได้ 20% ของเงินได้หรือหักตามจริง
- เงินค่าเช่าที่ดินที่ไม่ใช่เพื่อการทำการเกษตร หักค่าใช้จ่ายได้ 15% ของเงินได้หรือหักตามจริง
- เงินค่าเช่าทรัพย์สินอื่นๆ หักค่าใช้จ่ายได้ 10% ของเงินได้หรือหักตามจริง
- เงินจากการผิดสัญญาเช่าซื้อ สัญญาซื้อขายเงินผ่อน หักค่าใช้จ่ายได้ 20% ของเงินได้หรือหักตามจริง
เงินได้ประเภทที่ 6
หรือ 40(6) หมายถึงรายได้จากการประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งประกอบไปด้วยอาชีพโรคศิลปะ เช่น เภสัชกรรม การพยาบาล การผดุงครรภ์ กายภาพบำบัด เทคนิคการแพทย์ ฯลฯ รวมถึงอาชีพนักกฎหมาย วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี และช่างประณีตศิลป์ เงินได้พึงประเมินประเภทนี้สามารถหักค่าใช้จ่ายตามอัตราที่กำหนดดังนี้
- การประกอบโรคศิลปะ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% ของรายได้หรือหักตามจริง
- กฎหมาย วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี ประณีตศิลปกรรม หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 30% ของรายได้หรือหักตามจริง
เงินได้ประเภทที่ 7
หรือ 40(7) หมายถึงรายได้ที่มาในรูปแบบของค่ารับเหมาทั้งค่าแรงและค่าของ เช่น รับเหมาะก่อสร้าง การรับผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้าแบบสั่งทำเฉพาะพิเศษ เป็นต้น รายได้ประเภทนี้สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ 60% ของเงินได้ หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริง
เงินได้ประเภทที่ 8
หรือ 40(8) หมายถึงเงินได้ที่ไม่อยู่ในกลุ่มเงินได้พึงประเมินประเภท 1-7 และเป็นรายได้ที่ไม่ได้รับการงดเว้นภาษี เช่น เงินได้จากการขายของออนไลน์ รายได้จากการเปิดร้านอาหาร/คาเฟ่ รายได้จากการเป็นอินฟูลเลนเซอร์ รายได้จากการขายอสังหาฯ เป็นต้น เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่ 40%-60% ของเงินได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของเงินได้ หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง
สาเหตุที่ต้องแยกเงินได้ออกมาเป็นแต่ละประเภทมาจากการที่แต่ละอาชีพมีความยากง่ายหรือมีต้นทุนในการทำอาชีพนั้นแตกต่างกัน จึงกำหนดค่าใช้จ่ายเพื่อหักจากเงินได้เพื่อเสียภาษีในอัตราเปอร์เซ็นต์ที่อ้าง โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 60%ของรายได้
ส่วนเงินได้จากค่าเช่ารถอาจจะมีต้นทุนที่ต่ำลงมาจึงหักค่าใช้ได้จ่ายได้ 30%ของรายได้ ในบางกรณีเงินได้บางประเภทมีต้นทุนต่ำมากหรืออาจไม่มีเลยจะไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้เลย เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล เป็นต้น
ดังนั้นถ้าเราไม่แยกประเภทของเงินได้และกำหนดให้ทุกเงินได้หักค่าใช้จ่ายเท่ากันจะทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมในแง่ของผู้มีเงินได้
อีกทั้งเงินได้พึงประเมินเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคำนวณ โดยนำไปหักลบกับค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเพื่อให้ได้เงินได้สุทธิมาก่อนที่จะนำไปคำนวณภาษีได้อย่างถูกต้อง ตามสูตรคำนวณดังนี้
สูตรการคำนวณ
เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
สารบัญ
Toggleเงินได้สุทธิ x อัตราภาษีขั้นบันได = เงินภาษีที่คุณต้องจ่าย
สรุปคือเราต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเองและยื่นภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ฉะนั้นเราต้องมีความเข้าใจว่าเงินได้พึงประเมินของเราอยู่ในประเภทใดก่อน นั่นเองค่ะ



