พูดถึงภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย คืออะไร ทำไมเราจะต้องถูกหัก และทำไมในแต่ละครั้งถึงถูกหักไม่เท่ากัน บทความนี้จะมาสรุปให้ฟังค่ะ
ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย คืออะไร
ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย หรือ หัก ณ ที่จ่าย คือเงินที่คน “จ่าย” ที่จดทะเบียนเป็นบริษัทหรือนิติบุคคลต้อง “หัก” ไว้ก่อนที่จะจ่ายเงินให้กับคนรับที่เป็นนิติบุคคล หรือคนธรรมดา
แล้วนำส่งเป็นภาษีให้กรมสรรพากรไม่เกินวันที่ 7 ของเดือนถัดไป ทำให้ผู้รับเงินจะไม่ได้รับยอดเงินดังกล่าวแบบเต็มจำนวน และจะได้รับเอกสารหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายไว้ เพื่อเป็นหลักฐานไว้ใช้ในการยื่นภาษี
แสดงเในการยื่นภาษีประจำปี และการยื่นขอภาษีส่วนนี้คืน ทั้งนี้ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย จะมีการหักทุกครั้งที่การจ่ายเงินนั้นๆ ตรงตามเงื่อนไขที่ภาษีรูปแบบนี้ได้กำหนดไว้ เช่น การจ้างงานฟรีแลนซ์ที่มียอดค่าจ้างตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป
โดยภาษีรูปแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับคลังของภาครัฐอย่างสม่ำเสมอ และให้มีสภาพคล่อง เพราะผู้รับเงินหลายคนไม่ได้ยื่นเอกสารเพื่อขอภาษีในส่วนนี้คืน และเป็นการลดภาระผู้เสียภาษี เพราะไม่จำเป็นต้องเสียภาษี
ในปริมาณมากพร้อมกันในครั้งเดียว
อัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะเกิดขึ้น เมื่อมีการจ่ายเงินที่เข้าข่ายตามเงื่อนไขที่ทางภาครัฐกำหนดไว้ โดยอัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย จะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละกรณี
สำหรับอัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่พบบ่อยๆ ก็คือ
1. ค่าจ้าง และเงินเดือน 0%
ค่าจ้างและเงินเดือน คือ ยอดเงินที่บริษัทหรือองค์กรจ่ายให้กับพนักงานเป็นค่าตอบแทน ซึ่งเป็นเงินที่เข้าเกณฑ์การหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งอัตราการหักจะใช้วิธีการคำนวณเช่นเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
โดยสามารถทำได้จากการเอาเงินที่จ่ายให้พนักงานทั้งปี มาหักค่าลดหย่อนต่างๆ และหักตามอัตราก้าวหน้า ในกรณีที่เงินได้ของพนักงานไม่ถึงเกณฑ์ บริษัทที่เป็นผู้จ่ายเงินไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเลย
หรือเทียบเท่ากับ 0% แต่ถ้าบริษัทได้หัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว พนักงานสามารถขอคืนภาษีจากภาครัฐในตอนที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2. จ้างทำงานหรือบริการ 0%
การจ้างทำงานหรือบริการ คือ การจ้างบุคคลธรรมดาให้ทำบางอย่างให้ ทั้งในแง่ของการทำสิ่งของและการให้บริการใดๆ ซึ่งการจ้างงานในรูปแบบฟรีแลนซ์มักจะรวมอยู่ใน รูปแบบนี้ด้วย
เช่น บริการรับจ้างทำนามบัตร หรือการจัดงานสัมมนา อัตราการหักภาษี ณ จ่ายของการจ้างทำงานหรือบริการ จะมีการคำนวณในรูปแบบเดียวกับกรณีของเงินเดือนและเงินค่าจ้าง
โดยการคำนวณยอดเงินได้ทั้งปีและหักส่วนลดหย่อนต่างๆ ออก คิดเป็นอัตราก้าวหน้าเช่นเดียวกับการคิดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งหากยอดเงินรวมทั้งปีไม่ถึงเกณฑ์ ภาษีหัก ณ ที่จ่ายก็จะเท่ากับ 0%
แต่หากผู้จ่ายหรือบริษัทมีการหัก ณ ที่จ่าย ก็สามารถยื่นเอกสารเพื่อขอเงินภาษีคืนได้เช่นกัน
3. จ้างรับเหมา ทำของ บริการ 3%
การจ้างรับเหมา ทำของ หรือบริการ คือ การว่าจ้างให้บุคคลทำสิ่งของหรือบริการใดๆ เช่นเดียวกับรูปแบบการจ้างทำงานหรือบริการแต่แตกต่างกันตรงที่ในการจ้างรับเหมา
ทำของ หรือบริการ ผู้ว่าจ้างจะไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ให้ ทำให้ผู้ได้รับเงินหรือผู้ถูกจ้างจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ของตัวเอง หรือจัดหาสิ่งของด้วยตัวเอง เช่น การรับจ้างเขียนโปรแกรม เป็นต้น โดยจะมีอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายอยู่ที่ 3%
4. จ้างบริการวิชาชีพอิสระ 3%
การจ้างอาชีพอิสระ คือ อาชีพที่อยู่ใน 6 กลุ่มวิชาชีพเฉพาะทาง ได้แก่ ทนายความ วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี ประณีตศิลป์ และโรคศิลปะ (กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค เช่น ทันตกรรม เภสัชกรรม หรือเวชกรรม)
โดยในกลุ่มนี้จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายจำนวน 3% ทั้งนี้ สำหรับการประกอบอาชีพอิสระอื่นๆ หรือฟรีแลนซ์จะเป็นการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามหมวดของการจ้างทำงานหรือบริการแทน
5.ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ 5%
ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ คือ การเช่าสถานที่ ที่ผู้เช่ามีสิทธิในการถือกุญแจ เช่น การเช่าออฟฟิศ ในกรณีนี้จะถือเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงมีอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% นอกจากนี้ ยังมีการเช่าแบบอื่นๆ ที่จำเป็นต้องหัก 5%
คือ การเช่ารถยนต์หรือค่าจ้างอาชีพเพื่อการบันเทิง แต่ในกรณีที่เป็นการใช้งานสถานที่แต่ไม่มีสิทธิในการถือกุญแจ เช่น การเช่าสถานที่เพื่อจัดงานอีเวนต์ งานประชุม หรือสัมมนา การหักภาษี ณ ที่จ่ายตามกฎหมาย
จะถือว่าอยู่ในหมวดการจ้างบริการ โดยมีอัตราภาษีอยู่ที่ 3% รวมถึง ในกรณีที่มีการเช่ารถยนต์พร้อมคนขับ ต่อให้ผู้ว่าจ้างจะเป็นคนถือกุญแจ ก็จะถือว่าเป็นหมวดของการจ้างบริการเช่นกัน
6. ค่าโฆษณา 2%
ค่าจ้างโฆษณา คือ การว่าจ้างผ่านเอเจนซีหรือบริษัทรับทำโฆษณา ให้มีการโฆษณาหรือโปรโมทแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งทางสื่อสิ่งพิมพ์หรือ
สื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งไม่ใช่บริการด้านการตลาด จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 2% ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นการจ้างบริการด้านการตลาด เช่น การจ้างผู้มีชื่อเสียงหรืออินฟลูเอนเซอร์ เพื่อการรีวิวสินค้า การจ้างทีมให้คำปรึกษา
ด้านการตลาดหรือบริการทำป้ายออกบูท จะเป็นการหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% แทน
7.ค่าขนส่ง 1%
ค่าขนส่งที่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย คือ ค่าขนส่งในกรณีที่เป็นการจ้างบริการขนส่งของภาคเอกชนหรือนิติบุคคล และมีการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการรูปแบบการขนส่ง เช่น การใช้บริการของบริษัทโลจิสติกส์ในการขนส่งสินค้า ซึ่งอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะเท่ากับ 1% ทั้งนี้ ในกรณีของการใช้บริการไปรษณีย์ไทยจะไม่มีการหัก ณ ที่จ่าย เพราะถือเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยกเว้น
การยื่นแบบภาษี หัก ณ ที่จ่าย สำหรับผู้ที่หักเงิน
ทุกครั้งที่ทำการหักไว้ คนที่หักต้องออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่ จ่าย ให้กับคู่ค้าของเราไว้ด้วยทุกครั้ง โดยออกอย่างน้อย 4 ฉบับ คือ ต้นฉบับและสำเนา 2 ฉบับแรกออกให้คู่ค้า เพื่อให้คู่ค้าเก็บไว้ใช้ขอคืนภาษีฉบับหนึ่งและเก็บไว้เป็นหลักฐานฉบับหนึ่ง ส่วนฉบับที่ 3 และ 4 เราเก็บไว้เอง โดยฉบับที่ 3 เอาไว้สำหรับส่งภาษี และฉบับที่ 4 เราเก็บไว้เป็นหลักฐาน สำหรับการยื่นภงด จะมี่ทั้ง ภงด3 เเละ ภงด53 2 อย่างนี้ต่างกันอย่างไรไปทำความเข้าใจกันค่ะ
- 1. ภ.ง.ด.3 เป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซึ่งผู้รับเงินเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยกิจการที่หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ต้องนำส่งกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
- 2. ภ.ง.ด.53 เป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซึ่งผู้รับเงินเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยกิจการที่หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ต้องนำส่งกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
คำนวณหักภาษี ณ ที่จ่าย อย่างไรให้ถูกต้อง
การคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่าย ในเอกสารหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย จะมีให้เลือกหลายกรณีด้วยกัน โดยกรณีปกติลูกค้าจะยอมหักภาษี ณ ที่จ่าย กันอยู่แล้วเราก็จะคำนวณแบบปกติทั่วไป แต่ถ้าผู้ให้บริการไม่ยอมให้หักภาษี ณ ที่จ่าย อยากจ่ายเงินเต็มจำนวนเราต้องออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้ ฉะนั้นเราจะคำนวณแบบปกติไม่ได้ ต้องมีวิธีคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับกรณีนี้
ตามหนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย จะมีให้ผู้ประกอบการเลือกว่าผู้จ่ายเงินแบบใด เช่น
- หัก ณ ที่จ่าย
- ออกให้ตลอดไป
- ออกให้ครั้งเดียว
- อื่น ๆ (ระบุ)
มาดูวิธีการคำนวณกันเลยค่ะ
ตัวอย่างโจทย์ : บริษัทได้มีการจ่ายค่าจ้างการเขียนโปรแกรม 20,000 บาท (ต้องหัก ณ ที่จ่าย 3 %)
ตัวอย่างโจทย์ : บริษัทได้มีการจ่ายค่าจ้างการเขียนโปรแกรม 20,000 บาท (ต้องหัก ณ ที่จ่าย 3 %)
วิธีที่ 1 หักภาษี ณ ที่จ่าย (เเบบปกติ)
สูตร = จำนวนเงินได้ที่จ่าย x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ค่าบริการ 20,000 บาท
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% (20,000*3%) 600 บาท
จำนวนเงินที่ต้องชำระ (20,000-600) 19,400 บาท
ค่าบริการ 20,000 บาท
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% (20,000*3%) 600 บาท
จำนวนเงินที่ต้องชำระ (20,000-600) 19,400 บาท
วิธีที่ 2 หักภาษี ณ ที่จ่าย ( แบบออกให้ครั้งเดียว )
สูตร = (จำนวนเงินได้ที่จ่าย + ภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ออกให้ครั้งเดียว) x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ค่าบริการ 20,000 บาท
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% ออกเเทน (20,000*3%) 600 บาท
รวมเงินที่แท้จริง 20,600 บาท
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% (20,600*3%) 618 บาท
จำนวนเงินที่ต้องชำระ (20,600-618 ) 19,982 บาท
วิธีที่ 3 หักภาษี ณ ที่จ่าย ( แบบออกให้ตลอดไป)
สูตร = จำนวนเงินได้ที่จ่าย x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย / (100 – อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย)
ค่าบริการ 20,000 บาท คำนวนภาษีหัก ณ ที่จ่าย (20,000*3/97) 618.55 บาท รวมเงินที่แท้จริง 20,618.55 บาท ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% (20,618.55*3%) 618.55 บาท จำนวนเงินที่ต้องชำระ (20,618.55-618.55 ) 20,000 บาท
การหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นการทยอยจ่ายภาษีล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยให้เราไม่ต้องรับภาระภาษีเป็นก้อนพอถึงเวลายื่นภาษีจริงๆ เพราะมีการจ่ายภาษีล่วงหน้าไปบางส่วนเเล้ว ยังช่วยให้เราจ่ายภาษีลดลงอีกด้วย
หรือ อาจมีสิทธิขอเงินคืนภาษีได้ ในกรณีที่คุณถูกหัก ณ ที่จ่ายเกินกว่าภาระที่คุณต้องจ่าย เช่น คุณมีภาระต้องจ่ายภาษีตอนยื่นภาษี 6,000 บาท เเต่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้ 8,000 บาท เเสดงว่าคุณจ่ายภาษีเกินไป 2,000 บาท
แบบนี้คุณก็สามารถขอคืนภาษีได้ 2,000 บาท ที่จ่ายเกินไป เเต่ต้องรีบยื่นภาษีเพื่อขอคืนภายใน 3 ปี นับจากวันสุดท้ายที่ครบกำหนดยื่นภาษี
สำหรับผู้ประกอบการที่มีการหัก ณ ที่จ่ายเอาไว้เเล้ว อย่าลืมนำส่งภาษีกับกรมสรรพากรโดดเด็ดขาดนะคะ เพราะจะต้องเสียค่าปรับในการยื่นล่าช้าได้ค่ะ