การลดหย่อนภาษี สำหรับผู้มีเงินได้

การวางแผนภาษีสำคัญอย่างไร? ทำไมถึงต้องวางแผนภาษีทุกปี

การให้ความสำคัญกับการลดหย่อนภาษีตั้งแต่ต้นปี เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวางแผนภาษีให้มีประสิทธิภาพ ผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบและชำระภาษีจึงไม่ควรมองข้าม เพราะหากเตรียมและจัดรายการลดหย่อนภาษีได้ล่วงหน้า จะช่วยให้สามารถประหยัดภาษี และมีเงินเหลือไปทำประโยชน์ ซึ่งสิทธิลดหย่อนภาษีประจำปี 2567 เราได้อัปเดตและสรุปมาให้แล้วทุกรายการ มาดูข้อมูลกันเลยค่ะ
การคำนวณเงินได้สุทธินั้นสามารถคิดคำนวนได้แบบง่าย ๆ คือ เงินได้สุทธิ = (รายได้รวมต่อปี – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน
อัปเดตรายการลดหย่อนภาษีปี 2567 ตามที่กฎหมายกำหนดให้สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ โดยสามารถแบ่งเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้

1. สิทธิลดหย่อนส่วนตัว และครอบครัว

สิทธิลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้

ผู้มีเงินได้ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนค่าใช้จ่ายสำหรับตนเองได้จำนวน 60,000 บาท ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของการลดหย่อนภาษีที่ทุกคนได้รับ

สิทธิลดหย่อนสำหรับคู่สมรส

ผู้คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นผู้ที่ไม่มีรายได้ สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนได้จำนวน 60,000 บาท แต่กรณีที่คู่สมรสเป็นผู้มีเงินได้สามารถเลือกยื่นภาษีแยกหรือรวมกันได้

สิทธิลดหย่อนสำหรับบุตรและบุตรบุญทำชอบด้วยกฎหมาย

ค่าลดหย่อนภาษีบุตร คนละ 30,000 บาท โดยจะต้องเป็นบุตรโดยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว และต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี หรืออายุไม่เกิน 25 ปี และกำลังศึกษาอยู่ หรือในกรณีที่บุตรอายุเกิน 25 ปี ขึ้นไป แต่มีสถานะเป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ ก็สามารถลดหย่อนภาษีได้ ในกรณีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป สามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท

สิทธิลดหย่อนค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร

ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาทต่อการตั้งครรภ์ หากเป็นการตั้งครรภ์แฝด จะนับเป็น 1 การตั้งครรภ์เท่านั้น
โดยจะต้องมีเอกสารมาแสดง คือ ใบรับรองแพทย์ที่แสดงความเห็นว่ามีภาวะตั้งครรภ์ และใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานอื่น ๆ ที่ได้จ่ายให้สถานพยาบาล ใช้สิทธิได้ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน หากทั้งสามีและภรรยายื่นภาษีทั้งคู่ จะให้สิทธิลดหย่อนนี้แก่ภรรยาเท่านั้นโดยสามีสามารถลดหย่อนภาษีในกรณีที่ภรรยาไม่มีเงินได้

สิทธิลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส

จำนวนคนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 4 คน กล่าวคือ สามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 120,000 บาท (และจะต้องไม่ใช่พ่อแม่บุญธรรม) โดยบิดามารดาจะต้องมาอายุมากกว่า 60 ปี และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนซ้ำระหว่างพี่น้องได้

สิทธิลดหย่อนสำหรับอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ

หากผู้มีเงินได้อุปการะเลี้ยงดูคนพิการ/ทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน โดยคนพิการ/ทุพพลภาพนั้น มีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท มีบัตรประจำตัวผู้พิการ และผู้มีเงินได้มีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะจะได้รับสิทธิลดหย่อน 60,000 บาท ในกรณีที่ผู้พิการหรือทุพลภาพเป็นบิดามารดา บุตร หรือคู่สมรสของตนเอง สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ทั้งสองส่วน ตัวอย่างเช่น คู่สมรสไม่มีรายได้และเป็นผู้พิการ สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 120,000 บาท (ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท และค่าลดหย่อนอุปการะผู้พิการ 60,000 บาท)

2.สิทธิลดหย่อนจากการออม การลงทุน และประกันชีวิต

เงินสมทบกองทุนประกันสังคม

สามารถแบ่งได้ตามมาตรา ได้แก่

เบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์

ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยเงื่อนไขของค่าลดหย่อนประกันชีวิตคือ ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และถ้าหากมีการเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี จะถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไข ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้

เบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ

ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ ต้องไม่เกิน 100,000 บาท

เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา

ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท (บิดามารดามีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี แต่ไม่จำเป็นต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป)

เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม)

สำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นหรือธุรกิจ Social Enterprise ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป สามารถนำเงินลงทุนไปเป็นค่าลดหย่อนได้ โดยลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)

สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund)

สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท

กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF : Super Saving Funds)

เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว สามารถนำมาลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน

สามารถนำมาหักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ เฉพาะของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ

(กบข.) ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) = กองทุนนี้เป็นกองทุนสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระเท่านั้น สามารถหักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ

ามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยเงื่อนไขของค่าลดหย่อนประกันชีวิตคือ ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และมีการจ่ายผลประโยชน์เป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ
****สำหรับกลุ่มค่าลดหย่อนประกันชีวิตและการลงทุนในการวางแผนเกษียณ ได้แก่ กองทุน RMF กองทุน SSF กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมด ต้องไม่เกิน 500,000 บาท****

บทความที่เกี่ยวข้อง

การลดหย่อนภาษี สำหรับผู้มีเงินได้

การให้ความสำคัญกับการลดหย่อนภาษีตั้งแต่ต้นปี เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวางแผนภาษีให้มีประสิทธิภาพ ผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบและชำระภาษีจึงไม่ควรมองข้าม เพราะหากเตรียมและจัดรายการลดหย่อนภาษีได้ล่วงหน้า

Read More »