การจด ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT สำคัญอย่างไร ??
สำหรับหลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า การจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือ VAT สำคัญกับกิจการของเราอย่างไง เป็นข้อดี หรือข้อเสียกันเเน่นะ เเละจำเป็นกับทุกกิจการไหม วันนี้เรามาคลายความสงสัยไปพร้อมๆกันค่ะ
ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร
ใครมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือ VAT เป็นการเก็บภาษีจากการขายสินค้า หรือการให้บริการในแต่ละขั้นตอนการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการ
ทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ
ใครบ้างที่ต้องจดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม
- 1. ผู้ประกอบกิจการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการ เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
- 2. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือบริการ ที่อยู่ในข้อบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้าง โรงงาน ก่อสร้างอาคารสำนักงาน หรือติดตั้งเครื่องจักร
- 3. ผู้ประกอบการอยู่นอกราชอาณาจักร และได้ขายสินค้าหรือบริการในราชอาณาจักร โดยมีตัวแทนอยู่ในราชอาณาจักร ให้ตัวแทนรับผิดชอบในการจดทะเบียน
ใครบ้างที่ ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ประเภทของธุรกิจ SMEs ประกอบด้วย
- 1. ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- 2. ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
- 3. ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
- 4. ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว (ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร)
- 5. ผู้ประกอบการที่ได้รับการประกาศจากกรมสรรพากร
1. กิจการการผลิต คือ กิจการที่นำวัตถุดิบมาแปรรูปให้เป็นสินค้าสำเร็จรูป โดยใช้แรงงานและค่าใช้จ่ายในการผลิตในภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม เหมืองแร่ เช่น โรงงานผลิตกระดาษ โรงงานผลิตอาหารกระป๋อง โรงงานผลิตเครื่องดื่ม ซึ่งธุรกิจขนาดย่อยไปจนถึงขนาดกลาง จะมีเกณฑ์การแบ่ง ดังนี้
เเต่บางกิจการก็ได้รับการยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย จะมีอะไรบ้างไปอ่านกันต่อค่ะ
การยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ การไม่นำรายได้มาคำนวณภาษีซึ่งจะต้องมีการนำมารวมคำนวนใน แบบ ภ.พ.30 (ข้อ 3) ซึ่งจะได้รับการยกเว้นในกิจการบางประเภท ที่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
โดยมีกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ยกตัวอย่าง ดังนี้
- 1. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าพืชผลทางการเกษตร สัตว์ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ปุ๋ย ปลาป่นอาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
- 2. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- 3. การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโดยท่าอากาศยาน
- 4. การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
- 5. การให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในราชอาณาจักร
จะต้องจดทะเบียนฯ เมื่อไร
- 1. วันเริ่มประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ หรือกรณีอยู่ระหว่างเตรียมการที่จะเริ่มประกอบกิจการ (เช่น อยู่ในช่วงการก่อสร้างโรงงาน ก่อสร้างอาคารสำนักงาน หรือกำลังติดตั้งเครื่องจักร) และได้มีการซื้อสินค้าหรือรับ บริการที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มผู้ประกอบการมีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายใน6 เดือนก่อนวันเริ่มประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ
- 2. ภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษี(รายรับ) เกินกว่า1.8 ล้านบาทต่อปี
ภาษีมูลค่าเพิ่มมีทั้ง ภาษีขายเเละ ภาษีซื้อ เรารวบรวมข้อมูลมาให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ
- 1. ภาษีขาย หมายถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เรียกเก็บหรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ เมื่อมีการขายสินค้าหรือรับค่าบริการ
- 2. ภาษีซื้อ หมายถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้จ่ายให้กับผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่เป็นผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการเพื่อใช้ในการประกอบกิจการของตน ภาษีซื้อที่เกิดขึ้นในเดือนใดให้บันทึกเป็นรายการภาษีซื้อในเดือนนั้น แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นไม่สามารถลงรายการภาษีซื้อที่เกิดขึ้นในเดือนเดียวกันได้ ผู้ประกอบการสามารถลงรายการภาษีซื้อได้ในเดือนถัดไปแต่ไม่เกิน 6 เดือนนับตั้งแต่เดือนที่ออกใบกำกับภาษี
วิธีการคำนวณภาษี
ภาษีที่ต้องเสีย คำนวณจากการนำภาษีขายทั้งเดือนภาษีมาหักด้วยภาษีซื้อทั้งเดือนภาษีหากมีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ให้ชำระภาษีส่วนต่างนั้น หากมีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย จะขอคืนภาษีส่วนต่างเป็นเงินสดหรือยกไปเครดิตภาษีในเดือนถัดไปก็ได้ดังนี้
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ภาษีขาย- ภาษีซื้อ
หากภาษีขาย > ภาษีซื้อ = ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ
หากภาษีขาย< ภาษีซื้อ = ภาษีที่มีสิทธิขอคืนหรือขอเครดิตภาษี
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ที่ไหน
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.01 ณ สถานที่ดังต่อไปนี้
- 1. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือ จะยื่นผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (เขต) ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
- 2. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นนอกเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (อำเภอ) ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
- 3. กรณีมีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (เขต/อำเภอ)ที่ซึ่งสถานประกอบการที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ หากไม่มีสถานประกอบการที่เป็น สำนักงานใหญ่ ให้ผู้ประกอบการเลือกสถานประกอบการแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นสำนักงานใหญ่
- 4. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่ในท้องที่ตั้งใหม่ ที่ยังไม่มีสำนักงานสรรพากรตั้งอยู่ ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (เขต/อำเภอ)ที่เคยควบคุมท้องที่นั้น
- 5. กรณีเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในการกำกับดูแลของสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ให้ยื่นขอจดทะเบียนได้ณ สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ หรือจะยื่นผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (เขต/อำเภอ) ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ก็ได้
ข้อดีของการ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- 1.การจัดการบัญชีเป็นระบบ ตรวจสอบได้ง่าย เมื่อทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว บริษัทจะต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย เพื่อยื่นให้กับกรมสรรพากร ทำให้ต้องมีการลงบัญชีรายการซื้อ-ขาย เก็บเอกสารใบกำกับภาษีอย่างเป็นระบบ เมื่อจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ เอกสารไม่สะเปะสะปะ ทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- 2.เพิ่มโอกาสในการขาย ปิดการขายได้ง่าย ในมุมของลูกค้า ส่วนใหญ่ต้องการใบกำกับภาษี โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นในนามบริษัท เพราะต้องการนำไปใช้บันทึกภาษีซื้อเพื่อลดภาระภาษี ดังนั้นบริษัทที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะมีโอกาสขายที่มากกว่า ช่วยเพิ่มโอกาสให้กับกิจการได้
- 3.กิจการมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น การจด VAT เป็นเหมือนเครื่องหมายยืนยันว่าบริษัทของคุณมีตัวตนอยู่จริง เชื่อถือได้ เพราะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะได้รับการตรวจสอบจากกรมสรรพากรและมีชื่ออยู่ในระบบของสรรพากรด้วย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้คู่ค้า
- 4. เมื่อบริษัทจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT ที่เกิดจากการที่บริษัทไปซื้อหรือใช้บริการจากที่อื่น จะสามารถบันทึกเป็นภาษีซื้อและทำการขอคืนได้
ข้อเสียของการ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- 1.ต้องทำรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกวันที่ 15 หรือยื่นผ่านช่องทางออนไลน์ภายในวันที่ 23 ของทุกเดือน ให้กับกรมสรรพากร ถึงแม้จะไม่มีการซื้อ-ขายก็ตาม เเละถ้าหากไม่ยื่นเเบบภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือยื่นไม่ตรงเวลา ก็จะถูกคิดค่าปรับได้
- 2.ราคาสินค้าหรือบริการต้องมีการบวก VAT 7% ทุกครั้ง อาจทำให้สินค้าคุณแพงขึ้น
- 3.ต้องมีความรู้เรื่องใบกำกับภาษี เพราะใบกำกับภาษีจะมีเงื่อนไข รายละเอียด หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษีตากฎหมาย เพราะเรื่องใบกำกับภาษีก็สำคัญ ผู้ประกอบกิจการต้องศึกษาวิธีเเละเงื่อนไขการออกใบกำกับภาษีในการใช้สิทธิ ประโยชน์ทางภาษีให้ดี เเละละเอียดที่สุด ไม่อย่างนั้น อาจก่อให้เกิดความผิดพลาด เเละจะไม่สามารถใช้ใบกำกับภาษีในการลดหย่อนได้
ส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับกิจการ ก็คือเรื่องงานบัญชีและภาษีที่ธุรกิจ SME ในกิจการว่ามีอะไรบ้าง มาทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันค่ะ
- 1. ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- 2. เสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากยอดขายสินค้าหรือบริการ ตั้งแต่วันที่มีหน้าที่จดทะเบียนฯเพื่อเป็นผู้ประกอบการ
- 3. เสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระในแต่ละเดือนภาษี
- 4. เสียเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ
- 5. ไม่มีสิทธินำภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกผู้ประกอบการจดทะเบียนอื่นเรียกเก็บในขณะที่ยังไม่ได้จดทะเบียนฯ ไปหักออกจากภาษีที่ต้องชำระได้(ภาษีขาย)
สรุปเเล้วสำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ควรต้องศึกษาเเละให้ความสำคัญต่อทางด้านภาษีมากเป็นพิเศษ เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการรู้จักการวางแผนในด้านภาษีการใช้สิทธิในการเสียภาษีตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง เเละยังหลีกเลี่ยงการโดนสรรพกรเรียกพบอีกด้วยค่ะ