ธุรกิจ SME คืออะไร? มีอะไรบ้าง มีกี่ประเภท ไปทำความเข้าใจกันเลยค่ะ
ธุรกิจ SME คืออะไร
ธุรกิจ SME (Small and Medium Enterprises) หรือเรียกว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นธุรกิจที่มีรายได้ สินทรัพย์และพนักงานจำนวนน้อย ดำเนินธุรกิจโดยผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบการ sme คือ ผู้ที่มีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับกลุ่มธุรกิจใด ใช้เงินลงทุนต่ำ ซึ่งหลักๆ เป็นเงินทุนของเจ้าของธุรกิจเองหรือเงินทุนจากการกู้ยืมสินเชื่อจากธนาคาร จุดเด่นของธุรกิจ SME คือการดำเนินธุรกิจในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มีทั้งธุรกิจการผลิต การค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจอาหาร การเกษตรหรือโรงแรมขนาดเล็ก เป็นต้น ธุรกิจ SME จึงถือเป็นธุรกิจที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย
สารบัญ
Toggleธุรกิจ SME คืออะไร? มีอะไรบ้าง มีกี่ประเภท ไปทำความเข้าใจกันเลยค่ะ
ประเภทของธุรกิจ SMEs ประกอบด้วย
1. กิจการการผลิต คือ กิจการที่นำวัตถุดิบมาแปรรูปให้เป็นสินค้าสำเร็จรูป โดยใช้แรงงานและค่าใช้จ่ายในการผลิตในภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม เหมืองแร่ เช่น โรงงานผลิตกระดาษ โรงงานผลิตอาหารกระป๋อง โรงงานผลิตเครื่องดื่ม ซึ่งธุรกิจขนาดย่อยไปจนถึงขนาดกลาง จะมีเกณฑ์การแบ่ง ดังนี้
- วิสาหกิจรายย่อย ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 5 คน
- วิสาหกิจขนาดย่อม ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 50 คน
- วิสาหกิจขนาดกลาง ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 100-500 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 50-200 คน
2. กิจการการค้า คือ กิจการที่ไม่ได้ผลิตสินค้าเอง หรือคือการซื้อสินค้าสำเร็จรูปมาเพื่อจัดจำหน่าย มีทั้งกิจการค้าส่ง และกิจการค้าปลีก เช่น กิจการห้างสรรพสินค้า กิจการขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป กิจการขายเครื่องกีฬางธุรกิจขนาดย่อยไปจนถึงขนาดกลาง จะมีเกณฑ์การแบ่ง ดังนี้
- วิสาหกิจรายย่อย ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 5 คน
- วิสาหกิจขนาดย่อม ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 30 คน
- วิสาหกิจขนาดกลาง ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 50-300 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 30-100 คน
3. กิจการบริการ คือ ธุรกิจที่เน้นการให้บริการหรือขายบริการ ไม่ได้จำหน่ายสินค้า เช่น กิจการประกันภัย ธุรกิจโรงแรม ร้านเสริมสวย โรงภาพยนตร์ กิจการรับทำบัญชี
ซึ่งธุรกิจขนาดย่อยไปจนถึงขนาดกลาง จะมีเกณฑ์การแบ่ง ดังนี้
- วิสาหกิจรายย่อย ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 5 คน
- วิสาหกิจขนาดย่อม ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 30 คน
- วิสาหกิจขนาดกลาง ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 50-300 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 30-100 คน
แนวทางจัดการความเสี่ยงที่ควรรู้ไว้ก่อนทำธุรกิจ SME
แน่นอนว่าในข้อดี ก็มีข้อควรระวัง สำหรับผู้ประกอบการ SME เรามีคำแนะนำในการทำธุรกิจมาฝาก ดังนี้ค่ะ
ริ่มต้นอย่างพอประมาณ ในการทำธุรกิจ SME เราสามารถคิดใหญ่ได้ แต่ต้องทำให้พอดีกำลัง ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนมาก หรือใช้ทรัพยากรมากเกินไป ควรเน้นที่ความคุ้มค่า เช่น การจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์ให้
- เริ่มต้นอย่างพอประมาณ ในการทำธุรกิจ SME เราสามารถคิดใหญ่ได้ แต่ต้องทำให้พอดีกำลัง ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนมาก หรือใช้ทรัพยากรมากเกินไป ควรเน้นที่ความคุ้มค่า เช่น การจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์ให้ มาช่วยผลักดันธุรกิจในช่วงแรก แทนที่จะเลือกแรงงานที่ขาดประสบการณ์
- วางแผนการเงิน เรื่องเงินเป็นเรื่องจำเป็นมากต่อการทำธุรกิจ และเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูง ในการทำธุรกิจ SME จึงต้องวางแผนการเงินให้ดี ควบคุมรายรับ รายจ่ายให้เหมาะสม ต้องพยายามให้ธุรกิจมีสภาพคล่องและกระแสเงินสดอยู่เสมอ
- ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน และช่วยลดต้นทุน เพราะเทคโนโลยีสามารถทำให้การผลิตให้มีประสิทธิภาพ ยังช่วยบริหารจัดการข้อมูลลูกค้า เพื่อการทำการตลาดที่ตรงกลุ่มมากขึ้น นอกจากนั้นเทคโนโลยียังมีส่วนช่วยในการส่งเสริมการขายด้วย
- การจับมือกับหุ้นส่วน เมื่อเริ่มต้นธุรกิจได้แล้ว ก็ควรมองหาพันธมิตรในการทำธุรกิจเพื่อสร้างความร่วมมือในอนาคต หุ้นส่วนเหล่านี้อาจช่วยต่อยอดธุรกิจ หรือเสริมแกร่งให้ธุรกิจไปได้ไกลและไวขึ้น
- การดูแลลูกค้าและคุณภาพของสินค้า ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นและขาดไม่ได้ เพราะลูกค้าคือหัวใจของทุกธุรกิจ ซึ่งการดูแลให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจทำได้ตั้งแต่การสร้างสรรค์สินค้า หรือบริการที่ดี การใส่ใจในบริการหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าประทับใจและบอกต่อ มากไปกว่านั้น ควรสังเกตความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้า และปรับปรุงสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ยิ่งขึ้น
- การบริการหลังการขาย การขายสินค้าไม่ได้จบลงที่การซื้อขายเท่านั้น แต่ผู้ประกอบการควรคิดถึงการบริการหลังการขายด้วย เพราะการมีบริการหลังการขายที่ดีจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ ทำให้ลูกค้ามีความผูกพันกับแบรนด์ ส่งผลให้กลับมาซื้อซ้ำ หรือมีการบอกต่อ
- รู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบธุรกิจ SME ควรรู้กฎหมายเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ หรือมีที่ปรึกษาที่คอยให้คำแนะนำ โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายภาษี กฎหมายแรงงาน หรือแม้แต่การทำสัญญากับคู่ค้า เพื่อลดข้อพิพาท ลดโอกาสเสียเปรียบทางธุรกิจ และป้องกันไม่ให้เกิดเบี้ยปรับหากกระทำผิดกฎหมาย
ส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับกิจการ ก็คือเรื่องงานบัญชีและภาษีที่ธุรกิจ SME ในกิจการว่ามีอะไรบ้าง มาทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันค่ะ
สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับภาษี ถึงแม้ธุรกิจจะจ้างนักบัญชีเป็นที่ปรึกษา เจ้าของธุรกิจก็ควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องภาษี ซึ่งสิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้เกี่ยวกับภาษีมีดังนี้
- 1. การจดทะเบียนธุรกิจไม่ว่าจะอยุ่ในรูปบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ซึ่งมีผลต่อรูปแบบการเสียภาษี
- 2. การรวบรวมเอกสารที่ใช้ในการบันทึกรายการบัญชีให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จรับเงิน ใบส่งสินค้า ใบรับสินค้า ใบแจ้งหนี้ เป็นต้น ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่จะใช้ในการบันทึกรายการบัญชี
- 3.ในกรณีที่กิจการจดทะเบียนในรูปนิติบุคคล ต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชี เจ้าของธุรกิจควรจัดทำบัญชีเดียว หรือการจัดทำบัญชีเพียงชุดเดียวเพื่อให้ผู้ประกอบการรู้สถานะของกิจการ และสามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างถูกต้อง จัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ
- 4. ภาระภาษีของธุรกิจSME ได้แก่
- ผู้ประกอบการSMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา
- รายได้จากการประกอบกิจการถิอ เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาหรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร และเมื่อหักค่าลดหย่อนแล้วนำไปคำนวณภาษีเงินได้ในอัตราก้าวหน้า
- ผู้ประกอบการSMEs ที่เป็นนิติบุคคล
- เสียภาษีจากฐานกำไรสุทธิ โดยกิจการSMEs ที่มีกำไรสุทธิไม่เกิน 300,000บาท ได้รับยกเว้นภาษี และสามารถหักค่าใช้จ่าย ค่าจดทะเบียนตั้งบริษัท ค่าสอบบัญชี ค่าทำบัญชีได้เป็น 2 เท่า
ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าธุรกิจ SME นั้นมีความน่าสนใจมาก เพราะธุรกิจ SME เป็นธุรกิจขนาดย่อมไปจนถึงขนาดกลาง ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญคอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ธุรกิจ SME มีความอิสระ ยืดหยุ่น และยังเป็นแนวทางให้กับทุกคนที่อยากจะสร้างธุรกิจเป็นของตัวเองด้วยค่ะ



